Microphone Condenser

         
     ไมโครโฟน คอนเดนเซอร์ (Microphone Condenser) หากพูดถึงไมค์โครโฟนแล้ว ไมค์ก็ไม่ต่างอะไรจากลำโพงเท่าไหร่เพียงแค่สลับกันระหว่าง ไมค์ = เสียงเข้าไปและสัญญาณออก ส่วนลำโพง = สัญญาณเข้าและเสียงออก 
ดังนั้นแล้ว Microphone ทั่วไปจะทำหน้าที่ นำเสียงที่เข้ามา ผ่าน Diaphragm ผ่านขดลวดผ่านแม่เล็ก และแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งไปให้ Mixer และเครื่องขยายเสียงเพื่อทำหน้าที่ขยายสัญญาณไฟฟ้าอ่อน ๆ ให้มีความแรงมากขึ้นและออกมาเป็นเสียงต่อไป

     การทำงานแบบนี้เป็นการทำงานของไมโครโฟนที่ใช้งานทั่วไปที่เราเห็นตามงาน หรือที่เราเรียกมันว่า Dynamic Microphone นั่นเอง ส่วนถ้าจะให้อธิบายเกี่ยวกับ Condenser Microphone นั้น การทำงานอาจคล้ายกันเพียงแต่เพิ่มในส่วนของการใช้สัญญาณไฟฟ้า 48 Volt มาช่วยขยายสัญญาณ ส่งไปที่เครื่องขยาย และ Diaphragm ที่มีความอ่อนไหว (sensitive) กว่า 

      หูมนุษย์ได้ยินเพียงแค่ 20Hz - 20,000 Hz ดังนั้นแล้ว หากเราเปิด analyzer เทียบกันระหว่าง Dynamic Mic และ ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) เราจะเห็นได้ว่า ระหว่างทางที่ไมโครโฟนทั้ง 2 ชนิดรับเสียงมา Condenser จะรับรายละเอียดของเสียงมาได้มากกว่า กร๊าฟ มีความหยักมากกว่า Dynamic Microphone ที่จะมีความแหว่งๆ หายไประหว่างทาง


     เหตุผลเนื่องจาก ไดอะแฟรมของ Condenser นั้นมีความบางมากกว่า ส่วนเสียงของ Condenser นั้นจะมีความสะอาดกว่า สัญญาณแรงกว่า เนื่องจากว่า ไมโครโฟนชนิด คอนเดนเซอร์ (Condenser) มีวงจรเพิ่มขึ้นมาซึ่งใช้ไฟ 48 Volt มาขยายสัญญาณไฟฟ้าอ่อน ๆ จาก Diaphragm รับเสียงอีกที ทำให้ สัญญาณที่ได้มีความแรงสูงกว่า Noise Floor หรือเสียงฟู่ๆ ซ่าๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จึงทำให้ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) ฟังดูแล้วรู้สึกว่า มีเสียง Noise หรือเสียงรบกวนจากสัญญาณในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ น้อยกว่าไมค์ Dynamic นั่นเอง 

     แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) จะดีกว่า Microphone Dynamic แต่อย่างใด ไมโครโฟน Dynamic รุ่นใหม่ ๆ ในยุคปัจจุบัน ก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้มี Noise Floor ที่ต่ำ เสียงซ่า ๆ ติดตัวมาจากไมค์ต่ำ แต่ก็ยังรับรายละเอียดของเสียงได้ไม่เท่ากับ ไมโครโฟน Condenser หมายถึง ตั้งแต่ความถี่ 20-20,000 Hz ระว่างทาง ไมโครโฟน Condenser รับความถี่ต่าง ๆ เข้าได้มากกว่า และรับได้ในระยะทางที่ไกลกว่า แต่ไมโครโฟนทั้ง 2 ชนิดนี้ ก็เหมาะสมกับการใช้งานที่ต่างกัน ตามแต่ละสถานการณ์


     เมื่อเราทราบถึงที่มาของ ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) ไปแล้วจากบทความด้านบนที่เขียนถึงวิธีการทำงานของมัน เมื่อ ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) นั้นสามารถรับรายลเอียดของเสียงได้มากกว่า ไกลกว่า สัญญาณแรงกว่า เนื่องจาก ไดอะแฟรมที่บางจึงทำให้รับเสียงได้ไว+การใช้ไฟ Phantom 48 Volt ช่วยขยายสัญญาณ จึงทำให้ไมค์ชนิดนี้เก็บรายละเอียดของเสียงได้มาก เหมาะกับการทำงานใน Studio แต่ในขณะเดียวกัน ข้อดีก็กลายเป็นข้อเสียด้วยคือ การที่รับเสียงได้ดีและไวต่อการรับเสียงหากบริเวณข้างเคียงที่เราใช้งานมีเสียงรบกวน เช่น เช่น เสียงลมเสียงรบเสียงใบไม้หรือเสียงผู้คนรอบข้าง มันก็จะรับเสียงเหล่านี้เข้าไปด้วย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนบางครั้ง ไม่สามรถนำไปใช้งานต่อได้เลยก็มี ดังนั้นแล้ว การใช้ไมโครโฟนชนิดนี้ จึงเหมาะกับการใช้ในห้องเก็บเสียง จึงจะสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ 100% หากนำไปใช้ในงาน Live หรืองานแสดงสด ก็อาจจะรับเสียงรอบข้างเข้ามามากจนเกินไป เช่น เสียงกลองชุด เสียงกีตาร์ จนทำให้บางครั้ง Sound Engineer ทำงานได้ไม่สะดวกเลยก็มี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนใช้ไมโครโฟนชนิด Condenser ในงานแสดงสดเสียเลย ปัจจุบันยังมี ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) ที่ผลิตออกมาในรูปแบบไมค์ถือทรง Hand held สำหรับงานแสดงสด ออกมาจำหน่าย เช่น RODE M2, Shure Beta 87, Shure KSM9, Samson C05, Sennheiser E965, Behringer SB 78A, Neumann KMS 105 เป็นต้น